วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555


ประวัติ วง 25 Hours

ทำความรู้จักกับศิลปินวง 25 hours ซึ่งมีแนวเพลงเป็นแนวอัลเทอร์เนทีฟ ที่มีส่วนผสมของดนตรีแบบบริตป็อป ,โฟล์ก ,และร็อก เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายและกำลังเป็นที่จับตามองของแฟนๆว่าวงนี้จะเป็นไปในทิศทางไหนต่อไป ใครที่ชื่นชอบเพลงของวงนี้ ติดตามผลงานต่อไปนะจ๊ะ

สมาชิกปัจจุบัน
-สมพล รุ่งพาณิชย์ (แหลม) – ร้องนำ
-ประทีป สิริอิสสระนันท์ (โฟร์) – กีต้าร์
-ปิยวัฒน์ มีเครือ (ปู๋) – กีต้าร์
-เอกศิริ กำบังภัย (บัง) – เบส
- กฤตพงศ์ สกุลนามอเนก (จ๊อบ) – กลอง

อดีตสมาชิก
- กิตติศักดิ์ ตันตระรุ่งโรจน์ (ตั้ม) – กลอง

ผลงาน
อัลบัม
-25 hours (วางขายเมื่อ มิถุนายน 2552)
*พริ้ว
*วันดีดี
*ถามจันทร์
*จำได้ไหม
*คืนเหงา
*สัญญา
*ในวันที่เขาต้องไป
*นิยายรัก
*คำตอบ
*ทำได้เพียง

-Color in White (วางขายเมื่อ พฤศจิกายน 2554)
*โลกใบใหม่
*Come On
*คนข้างๆ
*คิดเหมือนกันหรือเปล่า
*เที่ยงคืนสิบห้านาที
*ใบไม้
* เหมือน
*ย้อนเวลา
*ตุ๊กตาล้มลุก
*ร้องไห้ทำไม
*Midnight Serenade

เพลงพิเศษ
-E.P. เพลง วันดีดี
-เพลง โลกของเธอ – เพลงพิเศษจากงาน Goodclusive Night Live วันปล่อยหมี
- เพลง ฝืน – เพลงของ อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร (เล็ก Greasy Café)
-เพลง ยินดีที่ไม่รู้จัก ประกอบภาพยนตร์ เรื่อง กวน มึน โฮ

โฆษณา
-กระทิงแดง (2554)

รางวัล
พ.ศ. 2553
-FAT AWARDS ครั้งที่ 10
*อัลบั้มยอดเยี่ยม – อัลบัม 25 hours
*อัลบั้มยอดนิยม – อัลบัม 25 hours
*เพลงยอดนิยม – เพลง ทำได้เพียง
*ศิลปินยอดนิยม
-SEED AWARDS ครั้งที่ 5
*รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมสุดซี๊ดประจำปี
-You2Play Award
* ศิลปินที่มีคนคลิ๊กเข้ามาดูมากที่สุด
*เพลงที่มีคนคลิ๊กเข้ามาฟังมากที่สุด – เพลง ทำได้เพียง
-แฮมเบอร์เกอร์อวอร์ดส ครั้งที่ 7
*รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
-สยามดารา สตาร์ อวอร์ด 2010
*รางวัลนักร้องหน้าใหม่ยอดนิยม
-Gmember Awards 2010
*ศิลปินกลุ่มที่น่าจับตามองแห่งปี

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555


ทรอมโบน (อังกฤษTrombone) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง มีคันชักใช้สำหรับเปลี่ยนระดับเสียง โดยมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่งรวมทั้งวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ในวงดนตรี ทรอมโบนจะทำหน้าที่ประสานเสียงในกลุ่มแตรด้วยกัน
ทรอมโบน เป็นแตรซึ่งใช้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ในพิธีศาสนาและพิธียุรยาตราร่วมกับแตรโบราณ ทรอมโบนประกอบด้วยท่อลมสวมซ้อนเลื่อนเข้า – ออกได้ (Telescopic slide) ขนาดยาวโค้งได้สองทบ สองในสามของท่อลมนี้เป็นท่อทรงกระบอกเช่นเดียวกับ ทรัมเปตส่วนที่เหลือค่อย ๆ บานออกเป็นปากลำโพง ส่วนที่เป็นท่อลมทรงกระบอกจะเป็นท่อสองชั้นสวมกันไว้ในลักษณะรูปตัว U เลื่อนเข้าออกเพื่อปรับระดับเสียง เมื่อเลื่อนออกจะยาวประมาณ 9 ฟุต แต่เมื่อเลื่อนเข้า จะเหลือเพียง 3 ฟุตเศษ
ทรอมโบนเป็นเครื่องดนตรีประเภทท่อทรงกระบอก (Cylindrical Bore) กล่าวคือมีท่อลมที่ขนาดคงที่เกือบทั้งเครื่อง ทำให้มีเสียงที่แข็งและกระด้าง ไม่นิ่มนวลเหมือนฮอร์นหรือยูโฟเนียม แต่ในบางรุ่นอาจมีการขยายขาหนึ่งของ Slide ให้ใหญ่กว่าอีกขาหนึ่ง ทำให้เสมือนหนึ่งเป้นเครื่องดนตรีทรงกรวย (Conical Bore) และให้เสียงที่นุ่มขึ้น

[แก้]ประเภทของทรอมโบน

ส่วนลำโพงของ Tenor Trombone in Bb (บน) และ Bb/F (ล่าง)
Soprano Trombone หรือ Slide Trumpet มีระดับเสียงสูงมาก คีย์ Bb ซึ่งจะสูงกว่าคีย์ Bb ของทรอมโบรนทั่วไปอยู่ 1 Octave
Alto Trombone มีระดับเสียงสูงที่สุด คีย์ Eb หรือ Eb/Bb alto trombone จะมีช่วงตำแหน่งของ Slide ที่สั้นกว่า Tenor และ bass trombone ขนาดท่อลมของ alto trombone จะคล้ายกับ tenor trombone แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ปรมาณ 0.450"-0.500" และ bell ประมาณ 6.5" หรือ 7.5"
Tenor Trombone มีระดับเสียงต่ำกว่า Alto มีคีย์เสียง Bb เป็นทรอมโบนมาตรฐานที่ใช้กันมากที่สุดในวงทุกประเภท และเป็นที่เริ่มนิยมอย่างมากในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 ในอังกฤษ และ ฝรั่งเศส สำหรับบางเครื่องจะมี Valve สำหรับใช้เปลี่ยนคีย์เสียงของเครื่องทรอมโบนลงไปเป็นคีย์ F (คู่ 4 Perfect) และปิดช่องว่างระหว่าง Bb1 และ E2 ของทรอมโบนทั่วไป ทรอมโบนชนิดนี้อาจเรียกชื่อว่า Trombone แบบนี้ว่า Tenor-Bass Trombone หรือ Bb/F Trombone หรือบางครั้งเรียก Trombone with F-attachment มักมีขนาดปากแตรที่ 7½ ถึง 8½ นิ้ว
Marching Trombone คือ Tenor Trombone คีย์ Bb ที่ใช้วาล์วแทนสไลด์เพื่อไม่ให้เกะกะ เป็นทรอมโบนที่ออกแบบให้เครื่องมีขนาดสั้นและน้ำหนักเบา สำหรับใช้ในวงโยธวาทิตเท่านั้น
Bass Trombone มีคีย์หลักที่ Bb และมีความยาว 9 ฟุตเช่นเดียวกับ Tenor Trombone แต่มีขนาดท่อลมที่ใหญ่กว่าเพื่อให้เสียงที่หนักกว่าและนุ่มกว่า มักมีเส้นผ่านศูนย์กลางท่อลม (Bore Size) ที่ใหญ่กว่า Tenor Trombone เช่น 0.562" หรือ 0.580" และมีขนาดปากแตร (Bell) ตั้งแต่ 9 ถึง 10½ นิ้ว โดยทั่วไปมักมี Valve สำหรับเปลี่ยนคีย์ลงไปที่ F และสำหรับบางเครื่องอาจมี Valve อีกตัวซึ่งสามารถเปลี่ยนเสียงให้ต่ำลงอีกเป้นคู่ 3 Minor หรือ 3 Major (แล้วแต่รุ่น) ทำให้สามารถผสมคีย์ได้หลากหลาย เช่น Bb/F/Gb/D, Bb/F/G/Eb, Bb/F/D และ Bb/F/Eb
เบสทรอมโบนสมัยใหม่เป็นรุ่นพัฒนาของ Tenor Bass Trombone ซึ่งถูกขยายท่อลมและขนาดปากแตรให้ใหญ่ขึ้นในภายหลัง
ในอดีตเคยมี Bass Trombone ในคีย์ F G และ Eb เช่นกัน แต่เสื่อมความนิยมลงหลังจากมีการประดิษฐ์ Tenor Bass Trombone ซึ่งสามารถคลุมช่วงเสียงที่ในอดีตจำเป้นต้องใช้ทรอมโบนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
Contrabass Trombone มีระดับเสียงต่ำกว่า Bass Trombone มีทั้งความยาว 18 นิ้ว คีย์ Bb และความยาว 12 นิ้ว คีย์ F แต่ในปัจจุบัน F เป็นที่แพร่ นิยมคือระหว่าง 0.567" กับ 0.580"
Valve Trombone มีระดับเสียงเท่ากับ Tenor Trombone คีย์ Bb แต่ใช้ Valve เปลี่ยนเสียงแทนสไลด์ นิยมใช้ในวง Jazz หรือ Marching
Superbone เป็นการผสมผสานระหว่าง Valve และ Slide ปรากฏในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เคยรู้จักกันในชื่อ Valide Trombone นิยมใช้ในหมู่นักดนตรี jass ในปัจจุบันมักเรียกกันว่า Superbone

แซกโซโฟน

ประวัติ

อดอล์ฟ แซกซ์ (Adolphe Sax) มีชื่อจริงว่า Antoine-Joseph Sax แต่คนทั่วไปเรียกเขาว่า Adolphe Sax เป็นชาวเบลเยียมเกิดที่เมืองดินานท์ (Dinant) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1814 บิดาชื่อ ชาร์ล โจเซฟ แซกซ์ (Charles Foseph Sax) เป็นนักดนตรีเป่าฟลุตและคลาริเนต นอกจากนี้แล้วบิดาของเขายังมีโรงงานประดิษฐ์เครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองอยู่ที่เมืองดินานท์อีกด้วย ประมาณปี ค.ศ. 1815 บิดาเขาได้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ อดอล์ฟ แซกซ์ ได้เรียนรู้และได้รับการถ่ายทอดวิชาต่างๆ จากบิดา ในขณะเดียวกัน อดอล์ฟ แซกซ์ ยังได้ศึกษาดนตรีที่สถาบันดนตรีแห่งกรุงบรัสเซลส์ โดยเรียนเป่าฟลุตและคลาริเนต
ในปี ค.ศ. 1830 อดอล์ฟ แซกซ์ ได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีของเขาเป็นครั้งแรก โดยมีฟลุตและคลาริเนตซึ่งทำด้วยงาช้าง แสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ ในปี ค.ศ. 1838 เขาได้ลิขสิทธิ์ในการประดิษฐ์เบสคลาริเนต ระหว่างปี ค.ศ. 1840-1841 เขาได้ประดิษฐ์แซกโซโฟนและนำออกแสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ใน ค.ศ. 1841 แต่คณะกรรมการไม่ได้มอบรางวัลให้แก่เขาโดยอ้างว่าอายุน้อย ในที่สุดเขาได้ย้ายไปตั้งร้านประดิษฐ์และซ่อมเครื่องดนตรีที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1842 ร้านของเขาได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองในสมัยนั้น
เขาเสียชีวิตในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1894 ที่กรุงปารีสเมื่ออายุ 79 ปี
ในระยะต้นของต้นคริสต์ศตรรษที่ 20 บริษัทเฮนรี่ เซลเมอร์แห่งปารีสได้ซื้อร้านของอดอล์ฟ แซกซ์ ต่อของเขามาดำเนินการแทน และได้ผลิตแซกโซโฟนยี่ห้อ เซลเมอร์ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920
เทเนอร์แซกโซโฟน
ซับคอนทร่าเบสแซกฯ (สำเร็จ) หรือที่เรียนสั้นๆว่า ทูแบก(Tubax)

[แก้]ชนิดของแซกโซโฟน

ตระกูลแซกโซโฟนเป็นตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับคลาริเนท แซกโซโฟนมีขนาดต่าง ๆ ถึง 7 ขนาดด้วยกัน แต่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิดด้วยกัน หลากหลายชนิดของแซกโซโฟน ได้กล่าวเกี่ยวกับชนิดของแซกโซโฟนไว้ว่าแซกโซโฟนในปัจจุบันประกอบด้วยแซกโซโฟนโซปราโน, แซกโซโฟนอัลโต้, แซกโซโฟนเทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟนในบรรดา 4 ชนิดที่กล่าวมานี้ แซกโซโฟนโซปราโนเป็นแซกโซโฟนที่มีเสียงความถี่เสียงสูงที่สุด ตามด้วยแซกโซโฟนอัลโต้ แซกโซโฟนเทเนอร์และสุดท้ายที่ต่ำคือบาริโทนแซกโซโฟน
  1. โซปราโนแซกโซโฟน (Soprano Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาและมีความถี่ยังไม่สูงที่สุด มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาจึงสามารถถือไว้ในมือได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้สายสะพายแซกโซโฟนก็ได้ โซปราโนแซกโซโฟนไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการหัดเล่นแซกโซโฟนใหม่ๆ เนื่องจากมีความยากในการคุมเสียงมากกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และเทเนอร์ ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนใวโอลินในช่วงโพสิชั่นที่หนึ่ง(1st)ในวงประเภทเครื่องเป่า ระดับเสียง Bb เท่ากับเครื่องดนตรีคลาริเน็ตและทรัมเป็ต ในปัจจุบันแซกโซโฟนโซปราโนจะมีรูปทรงให้เลือก 2 แบบ คือแบบตรง และแบบโค้งก็จะมีลักษณะเหมือกับแซกโซโฟนอัลโต้แต่มีขนาดเล็กกว่า
  2. อัลโต้แซกโซโฟน (Alto Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ข้อนข้างเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากเป็นแซกโซโฟนที่เป่าง่ายกว่าโซปราแซกโซโฟนและมีน้ำหนักเบากว่าแซกโซโฟนเทเนอร์แซกโซโฟนอัลโต้สามารถเป่าได้ในดนตรีหลาย ๆ สไตล์ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คลาสสิก, ป็อป, แจ็ส แต่นักดนตรีคลาสสิกจะนิยมใช้แซกอัลโต้ในการเล่นมากกว่าการใช้แซกโซโฟนชนิดอื่น ๆ รวมถึงการเล่นดนตรีแบบแตรวง, คอนเสิร์ตหรือมาร์ชชิ่งแบรนด์ก็เช่นกัน ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนใวโอลิน-วิโอล่าในวงประเภทเครื่องเป่า แซกโซโฟนอัลโต้จึงเป็นแซกโซโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชีย
  3. เทเนอร์แซกโซโฟน (Tenor Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ถูกใช้มากในการเล่นดนตรีแนวแจ็ส แต่ก็สามารถเห็นแซกโซโฟนเทเนอร์ได้ในการเล่นดนตรีแบบอื่น ๆ เสียงของแซกเทเนอร์จะมีลักษณะแบบนุ่ม ๆ อ้วน ๆ ระดับเสียงBb และต่ำกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และแซกโซโฟนโซปราโน รองจากแซกโซโฟนอัลโต้ (โทนเสียงที่เล่นได้จะอยู่ในโทนอัลโต้-เทนเนอร์) ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนวิโอล่าในวงประเภทเครื่องเป่า แล้วแซกโซโฟนเทเนอร์ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่มือใหม่ควรจะใช้ในการเริ่มต้น
  4. บาริโทนแซกโซโฟน (Baritone Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดใหญ่และมีความถี่เสียงต่ำ แต่ยังสามารถที่จะบรรเลงเดื่ยวได้เพราะโทนเสียงอยู่ในช่วงโทนเทนเนอร์-เบส ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนเชลโล่ในวงประเภทเครื่องเป่า และมีราคาค่อนข้างแพง และมีน้ำหนัก ดังนั้นบาริโทนแซกโซโฟนจึงไม่เหมาะแก่นักแซกโซโฟนมือใหม่ทั้งหลาย ความยาวท่อของบาริโทนแซกโซโฟนจะอยู่ประมาณ 7 ฟุต
  5. เบสแซกโซโฟน (Bass Saxophone) ระดับเสียงBb เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดข้อนข้างใหญ่ มีเสียงต่ำกว่าเทนเนอร์แซกฯ 1ช่วงคู่แปด และ ต่ำกว่าบาริโทนแซกฯเป็นคู่ 4 สมบูรณ์ เล่นโทน เบส เป็นหลัก ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนเสียงคอนทร่าเบสในวงประเภทเครื่องเป่า
  6. คอนทร่าเบส แซกโซโฟน (Contrabass Saxophone) (Eb) เป็นเครื่องที่มีขนาดเกือบที่จะใหญ่ที่สุด มีความยาวเป็นสองเท่าของบาริโทนแซกฯ มีความสูงของเครื่องมากกว่าคนเล็กน้อย มีช่วงเสียงต่ำกว่าบาริโทนแซกฯ 1 ช่วงคู่แปด เป็นเครื่องดนตรีที่พบเห็นได้ยาก แต่ยังคงมีการผลิตอยู่ไม่มาก เสียงจะเป็นลักษณะ Buzzy มากกว่าจะบอกได้ว่าเล่นโน้ตตัวอะไรเพราะความใหญ่ของตัวเครื่องต่อปากเป่า
  7. ซับคอนทร่าเบส แซกโซโฟน (Subcontrabass Saxophone) (Bb) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

[แก้]อ้างอิง

[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น


ทรัมเป็ต (อังกฤษtrumpet) เป็นเครื่องดนตรีสากลในกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง(แตร) ประเภทเสียงสูง (high brass) เช่นเดียวกับเฟรนช์ฮอร์น กำเนิดเสียงโดยอาศัยลมจากการเป่าของผู้เล่นทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของริมฝีปาก โดยทั่วไปมีปุ่มกด (valve) 3 อัน เรียงอยู่ในระนาบเดียวกัน มีทั้งที่เคลือบผิวด้วยทองเงินนิกเกิล, และแลกเกอร์
ทรัมเป็ตมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มจากแตรสัญญาณที่ใช้ในการล่าสัตว์หรือในทางทหาร แต่แตรลักษณะนั้นโดยมากจะไม่มีปุ่มกดเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง ทำให้ไม่สามารถสร้างระดับเสียงที่แตกต่างกันได้มากนัก จนกระทั่งมีการคิดประดิษฐ์ปุ่มกดและกลไกต่างๆเข้าไปภายหลังในสมัยยุคกลาง โดยเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง สามารถพบเห็นได้ในวงหลากหลายรูปแบบตั้งแต่วงพื้นบ้านของเม็กซิกัน(mariachi) วงแจ๊ซ วงโยธวาทิต จนถึงวงออเคสตราขนาดใหญ่ หรือแม้แต่วงดนตรีป๊อป-ร็อคสมัยใหม่
ระดับเสียงของทรัมเป็ตมีช่วงเสียงประมาณ 2-3 ออกเตฟ ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่น ตั้งแต่ F# ต่ำกว่า middle C จนถึง E สูงเหนือบรรทัด 5 เส้นหรือสูงกว่านั้น เสียงของทรัมเป็ตโดยธรรมชาติมีลักษณะดังกังวาน สดใส และเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถใช้สร้างเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์หม่นเศร้าได้เช่นกัน
ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือทรัมเป็ตในคีย์ Bb และคีย์ C อาจพบเห็นทรัมเป็ตที่มีขนาดและระดับเสียงแตกต่างกันได้อีกหลายชนิดตั้งแต่ "เบส-ทรัมเป็ต" จนถึง "พิคโคโลทรัมเป็ต" โดยเฉพาะในบทเพลงคลาสสิค
ในประเทศไทยมีผู้เล่นทรัมเป็ตที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น อ.วานิช โปตะวนิช, อ.เลิศเกียรติ จงจิรจิต เป็นต้น

ประวัติ

เมื่อกล่าวถึง Bassline เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรี โดยเริ่มได้ยิน เช่นในบทเพลงของ J.S. Bach ระหว่างปี 1685-1750 ซึ่ง bassline มีความ สำคัญเฉกเช่นเดียวกับในส่วนของ soprano , alto , tenor เลยที่เดียว โดยในดนตรีคลาสสิก และออร์เคสตรา เสียงเบสจะถูกกำหนดขึ้นโดยเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า upright bass หรือ bass viola ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรกในโลก
ต่อมาเมื่อเริ่มมีดนตรีของคนแอฟริกัน คือ Ragtime (ดนตรีแนวเต้นรำของชาวแอฟริกัน) และ New Orleans Jazz โดยมีอุปกรณ์เสียงต่ำที่เล่นจาก brass bass และ tuba เนื่องจากเป็นการเล่นโดยใช้ลมหายใจในการเป่า ที่ใช้ทูบาในการเล่นเป็นจังหวะ 2 beat ใน 1 bar และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพลง jazz และเพลงเต้นรำ
เมื่อเพลงแจ๊ซมีการพัฒนาและเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเป็นจังหวะ swing ในปี 1935 การแต่งและการเรียบเรียงดนตรีจึงเกิดมีความซับซ้อนและยุ่งยากตามมา แต่ในขณะนั้น ได้มีในงานดนตรีที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงแจ๊ซ เช่น Duke Ellington , Count Basie and Benny Goodman และจังหวะแบบ 4 จังหวะ ใน 1 ห้องเพลง เริ่มเป็นที่แพร่หลายและนำไปใช้กันมากขึ้น ตั้งแต่ที่ brass bass ไม่สามารถที่จะเล่นในจังหวะนี้ได้ Acoustic upright bass จึงได้เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขึ้นมาแทนที่ brass bass อย่างไรก็ตาม Acoustic upright bass ก็มีข้อจำกัดของมันเองอยู่เหมือนกัน ในเรื่อง ของลำตัวที่ค่อนข้างใหญ่พกพายาก และมีน้ำเสียงที่ไม่สามารถดังดีพอและเหมาะสมในการเล่นร่วมกับวงดนตรีประเภท Big band ที่มีเครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น เช่น brass จำนวน 7 ตัว ,เปียโน ,กีต้าร์ กลอง สิ่งนี้จึงมีการเกิดปัญหาต่อในหมู่คนเล่นเบส
ต่อมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์ เบสไฟฟ้าขึ้นมาตัวแรกของโลก เบสไฟฟ้าตัวแรกของโลก ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Clarence Leo Fender ในปี 1951 จากบริษัท Fender Musical Intrumental Company (บริษัทเดียวกับที่ผลิตกีตาร์ Fender) ร่วมกันผลิตเบสที่มีชื่อรุ่นว่า Precision bass โดย Leo Fender ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหาของเบสรุ่นเก่าที่มีปัญหาในเรื่องของเสียงและขนาดที่ใหญ่ของ Acoustic upright bass ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อรุ่นว่า Precision bass เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ที่แปลว่า "เบสที่มีความกระชับ " โดยมีการใช้เฟร็ทติดลงบน Fingerboard และ แก้ไขในเรื่องของน้ำเสียงให้ดีขึ้น
American Vintage ‘62 Precision Bass?
Leo Fender กล่าวว่า "พวกเราต้องให้ความเป็นอิสระแก่มือเบสจาก Acoustic upright bassการผลิตเบสจึงเป็นการเกิดอุตสาหกรรมการผลิตเบสขึ้นเป็นครั้งแรก โดยความร่วมมือกับ George Fullerton Precision Bass รุ่นนี้มีการสร้างเฟรทที่ลำคอ มีลักษณะเป็น slab-bodied และ มี 34" scale ต่อมาเบสรุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีระดับโลก ในทุก ๆ แขนงทางดนตรี เช่น Monk Montgomery ,Shifti Henri ,Dave Myers
วงของ Vibist Lionel Hampton นับเป็นรุ่นแรกที่นำ P-Bass ไปใช้ในการแสดง โดยมือเบสของเขา คือ Roy Johnson และเบสตัวนี้มีเสียงที่ออกมาได้อย่างน่าทึ่งมาก จากคำวิจารณ์ของ Leonard Feather ซึ่งได้เขียนในนิตยสาร Down Beat เมื่อ 30 กรกฎาคม 1952 หลังจาก Roy Johnson ออกจากวงของ Hampton Monk Montgomery จึงเป็นบุคคลแรกที่สามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นจากเบสตัวนี้ แต่เขาก็ยังคงใช้ upright bass ในการเล่นควบคู่กันไปในวงของเขา กับมือกีตาร์คือ Wes Montgomery (มือกีตาร์ฝีมือดีแห่งวงการ) ซึ่งเป็นน้องชายเขา
นอกจากนี้ นักดนตรี Blues ก็นำเอาเบสรุ่นนี้ไปใช้ในบทเพลงเช่นเดียวกัน โดยในปี 1958 Dave Myers ได้นำ Precision Bass ไปใช้ในการบันทึกเสียงเบส ที่สร้างความสำเร็จให้แก่นักดนตรี Blues สมัยนั้นอย่างมากมาย โดย เขาได้พูดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1998 ว่า "ผมสร้างความประสบความสำเร็จให้กับ Fender Bass.."




พูดถึงไม้ตีกลอง 

น้ำหนักของไม้ คุณสมบัติต่างๆกันของไม้และรูปทรงของไม้กลองล้วนมีอิทธิผลต่อเสียงกลองและเสียงของ Cymbal และ Hi-Hat ดังนั้นมาทำความรู้จักไม้กลองให้มากขึ้นดังนี้ 

ไม้ที่ทำ 
ประมาณ 90% ของไม้กลองนั้นทำมาจากไม้ American Hickory ส่วนที่เหลืออาจเป็นไม้โอ๊ค เมเปิ้ล Birch หรือ Beech หรือพิเศษกว่านั้นก็เป็นไม้ Rosewood สาเหตุที่ไม้ส่วนใหญ่เป็น American Hickory เพราะคุณสมบัติของมันที่มีความแข็งแกร่ง น้ำหนัก สัดส่วน และความรองรับการสั่นสะเทือนจากการตีได้ดี 

ความยาวและน้ำหนัก 
ไม้กลองส่วนใหญ่จะมีความยาวอยู่ในช่วง 385 มิลลิเมตร (15.1นิ้ว) - 415 มิลลิเมตร (16.1นิ้ว) การใช้ไม้ที่ยาวกว่านี้ขณะที่แขนของคุณสั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะเราไม่ได้จับไม้กลองที่ปลายสุด (ถึงจะจับได้แต่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีในการตี) ซึ่งโดยทั่วไปเราจับในตำแหน่ง 1 ใน 3 ของไม้เราอาจเรียกว่าเป็นจุดศูนย์ถ่วงก็ได้ (Fulcrum Point) น้ำหนักของไม้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 40 - 70 กรัม ซึ่งน้ำหนักของไม้สัมพันธ์อย่างยิ่งกับความยาว ความหนา และประเภทของไม้ 

Photobucket 

รูปทรงของไม้กลอง 
ลักษณะทั่วไปคือเป็นการเหลาไม้จากปลายไม้ (Butt) ให้เล็กลงในจนถึงส่วนปลาย (Shoulder) แต่ก็มีไม้ที่ดีไซด์พิเศษให้ตัวด้าม (Shaft) ใหญ่กว่าปลายซึ่ง เป็นไม้ของ Tom Gauger เช่น รุ่นของTomm Gauger#17 ความลาดชันของด้ามที่เปลี่ยนไปให้ความรู้สึก และความสมดุลย์ที่ดีพิเศษเพราะจุดศูนย์ถ่วง (Fulcrum Point) ได้เปลี่ยนไปอยู่ใกล้ปลายไม้มากขึ้น 

ลักษณะของหัวไม้ 
รูปทรงของหัวไม้กลองแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ๆ (ตามรูปที่ 2 ข้างบน) คือรูปทรงกลม (เหมือนลูกบอลหรือแอปเปิ้ล) รูปทรงรี (เหมือนลูกสาลี่แต่ผมว่าเหมือนองุ่นมากกว่า) และรูปทรงสามเหลี่ยม (เหมือน ปิรามิด) ซึ่งลักษณะของหัวไม้มีอิทธิผลอย่างมากต่อเสียงที่เกิดขึ้นเวลาเราตีCymbal 

อิทธิผลของน้ำหนักต่อเสียงที่เกิดขึ้น 
น้ำหนักของไม้ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาแน่นของไม้ ตามกฎของเสียงสะท้อนบอกว่าไม้กลองที่มีน้ำหนักมากทำให้ได้เสียงที่เต็มมากกว่า คำว่าเสียงเต็มหมายถึงได้คลื่นที่กว้างจากคลื่นเสียงที่ต่ำไปถึงสูงออกมา ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ เมื่อมือกลองคนหนึ่งตีกลองในระยะ 5-6เมตร ห่างจากเราโดยไม่มีไมค์ และใช้ไม้กลองขนาดเล็กๆ ให้ตีแรงสุดๆแค่ไหนเสียงก็ออกมาไม่ดีครับ ขณะที่เล่นด้วยไม้ใหญ่ขึ้นแต่ตีเบาลงจะได้เสียงที่ดีกว่า ลองเทียบดูครับ และเมื่อในสถานะการณ์ที่เล่นโดยผ่านการมิคเสียง ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ซาวน์เอนจิเนียร์ของคุณ ที่จะช่วยปรุงเสียงของคุณ เสียงตี Cymbal ที่ออกมาจากไม้ที่มีน้ำหนักจะมีความถี่เสียงที่ต่ำกว่าไม้น้ำหนักเบา ซึ่งบางครั้งคุณอาจไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่เราสามารถแก้ไขโดยเลือกลักษณะของหัวไม้ใหม่ 

 
อิทธิผลของหัวไม้และเสียงที่เกิดขึ้น 
ตามกฎของเสียงสะท้อนบอกว่าจุดสัมผัสที่ยิ่งเล็กเท่าไหร่ก็จะทำให้เสียงที่เกิดขึ้นเป็นคลื่นความถี่ที่ยิ่งสูงตามไปด้วยเช่นกัน และเช่นเดียวกันกับความหนาแน่นของไม้ยิ่งหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เสียงที่เกิดขึ้นเป็นคลื่นความถี่ที่ยิ่งสูงตามไปด้วย ไม้ในอุดมคติของผู้เขียนเรื่องนี้คือไม้ที่มีน้ำหนัก ทำจากไม้ที่มีความหนาแน่นมาก มีหัวไม้เป็นทรงสามเหลี่ยม เพราะน้ำหนักและความหนาแน่นของไม้ให้ความหนาแน่นของเสียงและหัวไม้ทรงสามเหลี่ยมให้เสียงที่ชัดเจนเวลาตี Cymbal 
ภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นรูปทรงของหัวไม้ที่มีอิทธิผลต่อเสียง 
ไม้หัวทรงสามเหลี่ยม (ภาพที่ 4 ) เห็นได้ว่าเกิดจุดสัมผัสที่เล็กที่สุดดังนั้นเสียงที่ได้ออกมาก็จะเป็นเสียงที่มีความถี่เสียงที่สูง เคลียร์ ชัดเจน เนื่องจากแรงที่กดลงไปทั้งหมดสัมผัสในจุดเล็ก 
เราลองเปลี่ยนตำแหน่งของไม้ (ภาพที่5) โดยให้พื้นที่สัมผัสเต็มที่เสียงที่ได้จะเปลี่ยนไปจากเคลียร์ ชัดเจน เป็นเสียงที่ทึบ ลองดูไม้กลองหัวรูปวงรี (ภาพที่6) ให้พื้นที่ผิวสัมผัสที่เหมือนกับทรงสามเหลี่ยมและเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งการตีก็เกิดผิวสัมผัสที่ไม่ต่างกัน สุดท้ายไม้รูปทรงวงรี (ภาพที่7) จากรูปเห็นได้ว่าไม้ประเภทนี้ทำให้เกิดผิวสัมผัสมากที่สุดกว่าที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงทำให้เกิดเสียงที่เข้มกว่า และเมื่อเทียบกับไม้ทรงหัวสามเหลี่ยม ไม้ประเภทนี้จะให้เสียงที่เข้มกว่าแบบแรกแต่เบากว่าหัวสามเหลี่ยมแบบที่ 2 เนื่องจากเกิดผิวสัมผัสที่น้อยกว่า 

จับคู่ไม้กลอง 
ผู้ผลิตพยายามที่จะจับคู่ไม้กลองด้วยกันด้วยเบอร์เดียวกันและน้ำหนักเท่ากัน แต่ด้วยปัจจัยด้านสภาพอากาส ความชื้น ล้วนมีอิทธิผลต่อไม้ที่ทำ ทางออกที่ดีคือคุณต้องพยายามจับคู่ไม้กลองด้วยตนเอง (แต่ผมว่าบ้านเราคงทำอย่างนั้นไม่ได้) แต่ไม้กลองส่วนใหญ่นั้นบรรจุอยู่ในถุง ซึ่งก็สามารถเช็คได้ด้วยการกลิ้งบนพื้นที่เรียบๆ เพื่อดูว่ามันงอหรือไม่ 

เบอร์บนไม้กลอง 
ผู้ผลิตไม้กลองส่วนใหญ่ ใส่เบอร์ของตนบนไม้เช่น 5A,7B,6A,หรือ 3B ซึ่งผู้ผลิตไม่มีระบบที่แน่นอนที่จะบอกคุณสมบัติที่แท้จริงของไม้ได้ จึงตั้งเป็นเบอร์ดังกล่าวและเบอร์ต่างๆนั้นก็ไม่สามารถนำไปเทียบกับผู้ผลิตบริษัทอื่น เบอร์นั้นช่วยบอกแค่เป็นระบบที่ทำให้คุณอ้างอิงในการซื้อให้ตรงความต้องการ นอกเหนือจากระบบเบอร์ อาจมีระบบอิงชื่อศิลปิน เช่น John Doe Jazz Model , Dolly Parton Swing Model ,Steve Gadd ฯลฯ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกลองชุด

            กลองชุดเป็นชื่อเรียกภาษาไทย  มีความหมายถึง  กลองหลายใบ ภาษาอังกฤษ
ใช้ Team Drum  หรือ Jass Drum  ทั้งสองชื่อมีความหมายเหมือนกัน  คือ  การบรรเลงกลอง
ครั้งละหลายใบ  คำว่า  “แจ๊ส (Jass)  หมายถึง  ดนตรีแจ๊ส  ซึ่งใช้กลองชุดร่วมบรรเลง  จึงเรียกว่า  Jass Drum  และยังมีชื่อเรียกกลองชุดเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Dance Drumming  หมายถึงกลองชุดใช้บรรเลงจังหวะเต้นรำ
            กลองชุดประกอบด้วย กลองลักษณะต่างๆหลายใบ  และฉาบหลายอันมารวมกัน  โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว  กลองชุดนี้ตามประวัติของดนตรีไม่ปรากฏว่าได้เข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีดุริยางค์สากล ซึ่งเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่  แต่ใช้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีแจ๊ส และวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้นบรรเลงได้แก่  วงคอมโบ้ (Combo)  วงสตริงคอมโบ้ (String Combo)  ฯลฯ
            กลอง  จัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในจำพวกเครื่องดนตรีทั้งหมด  ในอดีตมนุษย์
ขึงหนังสัตว์บนรูกลวงของท่อนไม้ และตีหนังสัตว์ด้วยนิ้วและมือ  จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า คนตีกลองพื้นเมืองจะตีกลองเป็นจังหวะ สำหรับการเต้นรำระหว่างเผ่า  แต่ปัจจุบันพบว่า การบรรเลงกลองชุดจะเด่นที่สุดในส่วนของวงดนตรี  สำหรับการเต้นรำ  คนตีกลองพยายามปรับปรุงวิธีการ
บรรเลง  โดยบรรเลงตามจังหวะที่ได้ยินแล้วนำมาปรับปรุงโดยการคิดค้นระบบใหม่ขึ้น  ซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ได้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก  โดยการบันทึกอัตราส่วนของจังหวะกลองในบทเพลง  การบันทึก
บทเพลงนั้นประกอบด้วย ทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ  ทำให้ดนตรีมีการประสานเสียงกลมกลืน  เพิ่มความไพเราะมากยิ่งขึ้น  การริเริ่มพัฒนากลองชุดเป็นครั้งแรก  โดยเริ่มต้นจากบทเพลงจังหวะวอลซ์ (Waltz)
            ในช่วง ค.ศ. 1890 ถึง ค.ศ. 1910 นักตีกลองชุดเริ่มแยกออกจากแบบดั้งเดิม  พยายามที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกที่เป็นอิสระของดนตรี แทนแบบเก่าที่มีแบบแผนบังคับ ให้ปฏิบัติตามการแสดงถึงความก้าวหน้าของนักตีกลองชุดคือ  จะเติมความสนุกสนานลงในช่วงปลายประโยคเพลง หรือต้นประโยคเพลงแล้วจึงบรรเลงตามบทเพลงที่กำหนด  ซึ่งเป็นเพียงการบรรเลงให้ถูกต้องตามจังหวะเพลงเท่านั้น  การแสดงความก้าวหน้านี้เป็นการคิดค้นเพื่อการสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจภายในโดยตรงของนักตีกลองชุด

ศึกษาต่อได้ที่